ข้อดีและข้อเสียของการทำงานแบบ Hybrid

การทำงานแบบ Hybrid หรือ Hybrid Work เป็นรูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการทำงานจากที่ออฟฟิศ (On-site) และการทำงานจากที่บ้าน (Remote Work) ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้หลายองค์กรต้องปรับตัวเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น แต่ถึงแม้ว่าการทำงานแบบ Hybrid จะมีข้อดีมากมาย ก็ยังมีข้อเสียที่ต้องพิจารณาเช่นกัน ดังนั้นเรามาดูกันว่าการทำงานรูปแบบนี้มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง

ข้อดีของการทำงานแบบ Hybrid

ก่อนอื่นลองมาดูข้อดีของการทำงานแบบไฮบริดกันก่อน ว่ามีความน่าสนใจแบบไหนบ้าง และคนที่กำลังมองหางานจะต้องพิจารณาในเรื่องข้อดีด้านไหนบ้าง

• 1. เพิ่มความยืดหยุ่นและ Work-life Balance

  การทำงานแบบ Hybrid ช่วยให้พนักงานสามารถจัดการเวลาทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น เพราะมีอิสระในการเลือกสถานที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าออฟฟิศทุกวัน ส่งผลให้ลดความเครียดและมีเวลาให้กับครอบครัวหรือกิจกรรมส่วนตัวมากขึ้น

• 2. ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

  การเดินทางไปออฟฟิศทุกวันมักสร้างภาระทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย การทำงานแบบ Hybrid ช่วยให้พนักงานสามารถลดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าน้ำมัน ค่ารถโดยสาร หรือค่าทางด่วน นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาการจราจรและมลภาวะทางอากาศได้อีกด้วย

• 3. เพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจของพนักงาน

  พนักงานที่สามารถเลือกสถานที่ทำงานได้มักจะมีความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความกระตือรือร้น และมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

• 4. ช่วยให้องค์กรลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ

  เมื่อพนักงานไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวัน บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านสำนักงาน เช่น ค่าเช่าสำนักงาน ค่าไฟฟ้า และค่าสาธารณูปโภคอื่น ๆ นอกจากนี้ องค์กรยังสามารถใช้ทรัพยากรที่มีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

• 5. ช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ

  ในยุคที่การทำงานมีความยืดหยุ่นสูง พนักงานจำนวนมากมองหาบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ Work-life Balance ดังนั้นองค์กรที่เปิดโอกาสให้ทำงานแบบ Hybrid จึงมีแนวโน้มที่จะดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ได้ดีกว่า

ข้อเสียของการทำงานแบบ Hybrid

การทำงานแบบไฮบริดอาจดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของคนยุคใหม่ แต่ก็มีข้อเสียหรือข้อที่ควรพิจารณาอยู่บ้างเหมือนกัน ตามรายละเอียด ต่อไปนี้

• 1. อาจเกิดปัญหาด้านการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน

  แม้ว่าการทำงานจากที่บ้านจะสะดวก แต่บางครั้งอาจทำให้การสื่อสารระหว่างทีมขาดความต่อเนื่อง การประชุมออนไลน์อาจไม่สามารถแทนที่การพูดคุยแบบตัวต่อตัวได้ทั้งหมด

• 2. ความท้าทายในการบริหารทีม

  สำหรับผู้จัดการและหัวหน้างาน อาจเป็นเรื่องยากที่จะติดตามความคืบหน้าของงานและประเมินผลการทำงานของพนักงานเมื่อไม่ได้เจอกันแบบตัวต่อตัวบ่อย ๆ

• 3. ความรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน

  พนักงานที่ทำงานจากที่บ้านบ่อย ๆ อาจรู้สึกเหงาหรือขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความผูกพันกับองค์กรและความร่วมมือภายในทีม

• 4. ปัญหาด้านความปลอดภัยของข้อมูล

  การทำงานจากระยะไกลอาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลมากขึ้น เนื่องจากพนักงานอาจใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ไม่มีการป้องกันที่ดีพอ หรือใช้อุปกรณ์ส่วนตัวที่มีระบบรักษาความปลอดภัยต่ำ

• 5. มีโอกาสเกิดความไม่เท่าเทียมกันในทีม

  บางตำแหน่งงานอาจต้องเข้าออฟฟิศมากกว่าตำแหน่งอื่น ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลในทีม บางคนอาจรู้สึกว่าต้องทำงานหนักกว่าคนที่มีโอกาสทำงานจากที่บ้านมากกว่า

Hybrid Work ทางเลือกการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ต้องตัดสินใจให้ดี

การทำงานแบบ Hybrid มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์กร ลักษณะงาน และแนวทางการบริหารทีมของแต่ละบริษัท องค์กรที่สามารถนำระบบนี้มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถเพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้

หากคุณกำลังมองหางานที่ให้ความยืดหยุ่นและรองรับการทำงานแบบ Hybrid สามารถเข้ามาค้นหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมได้ที่ ThaiJob.com เว็บไซต์หางานที่มีตำแหน่งงานจากหลากหลายอุตสาหกรรม พร้อมตัวเลือกงานที่รองรับการทำงานแบบ Hybrid ให้คุณสามารถเลือกงานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างลงตัว